ทำผีบอก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “รู้กรรมในอดีต”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ หนูมีเรื่องสงสัยเรียนถามดังนี้ค่ะ
๑. คนที่มีฌานสามารถหยั่งรู้อดีตชาติของผู้อื่นและกรรมในอดีตของบุคคลนี้ บุคคลนี้ต้องสำเร็จถึงอริยบุคคลใช่หรือไม่เจ้าคะ
๒. การทำสมาธิหยั่งรู้วาระจิต อดีตชาติคนอื่น ฆราวาสทั่วไปสามารถทำให้บังเกิดขึ้นได้หรือไม่
ตอบ : แล้วก็เขียนมาว่าไอ้ปัญหาต่อไปห้ามอ่านออกอากาศ คือเป็นปัญหาในครอบครัว มีปัญหาในครอบครัว ห้ามอ่านออกอากาศ เขียนย้ำไว้เลย
ฉะนั้น ถ้าห้ามอ่านออกอากาศ เราบอกเพียงแต่เป็นแนวทาง แนวทางว่าในครอบครัวของเขา แล้วน้องสาวของเขามีงานต้องทำต่อไป แต่มีคนมาบอกเขาว่าน้องสาวเขาห้ามทำอะไรทั้งสิ้น เพราะทำไปแล้วเดี๋ยวจะตายภายใน ๓ เดือน นี่คำถามเป็นแบบนี้ นี่เรื่องของเขานะ
ฉะนั้น ถ้าอย่างนี้ปั๊บ เขาก็ตกใจ เขาบอกว่าเขาข้องใจอยู่ ทีนี้พอข้องใจอยู่ ทีนี้เราจะจบ เราจะบอกว่าจริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราคือว่ามันเชื่อไม่ได้ มันไม่มีอะไรเป็นสิ่งน่าเชื่อถือเลย แต่นี้เพราะเราเป็นสังคมชาวพุทธนะ เขาบอกว่าถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ก็จบ ก็เป็นเหยื่อเขาไปไง ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ก็เสร็จเลย เรียบร้อยไปเลย
ฉะนั้น ถ้าเรียบร้อยไปเลย นั้นเป็นความเห็นของสังคมนะ เราไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร ไม่เชื่อเพราะหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นท่านพูดนะ ท่านมาเทศน์ที่กรุงเทพฯ เวลาพวกโยมคุยธรรมะกันน่ะ นิพพานทั้งนั้นเลย นิพพานๆ
หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่า แม้แต่เส้นผมบนหัวเขา เขายังสละไม่ได้เลย เขาจะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน
นี่หลวงปู่ฝั้นพูดนะว่าผมบนหัวมันยังสละไม่ได้เลย มันสละไม่ได้ เป็นนักบวชไง ถ้านักบวชมันจะมีโอกาสมากกว่านั้นไง ฉะนั้น พอบอกเขาเป็นฆราวาสแล้วปฏิบัติ นิพพานๆ...นิพพานที่ปากไง นิพพานที่เขาพูดไง
พอนิพพานๆ ปั๊บ ครูบาอาจารย์เราท่านย้ำให้สังคมมีความเชื่อถือ พอมีความเชื่อถือมันก็ย้อนกลับมานี่แล้ว แล้วพอใครมา นิพพานเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ดันรู้อดีตชาติ อดีตชาติรู้ไปหมดเลย รู้นู่น รู้นี่ รู้ไปทั่ว ไร้สาระ ไร้สาระเพราะอะไร เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด กาฬเทวิลเป็นพราหมณ์ เขาขึ้นไปอยู่บนพรหมได้ อยู่ในพระไตรปิฎก ไปดูประวัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กาฬเทวิลอยู่บนพรหม ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด โลกธาตุจะหวั่นไหว โลกธาตุหวั่นไหวเกี่ยวพันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อย่าง
๑. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด
๒. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้
๓. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร
๔. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน
โลกหวั่นไหวคือแผ่นดินไหว ว่าอย่างนั้นเลย ฉะนั้น ปัจจุบันนี้แผ่นดินไหวตลอด แสดงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดทุกวันเลย เวลาเกิดแผ่นดินไหวทีหนึ่งก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาองค์หนึ่งเลย...ไม่ใช่ ไอ้นี่เป็นสภาวะแวดล้อม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดนี่ด้วยฤทธิ์ ด้วยฤทธิ์ด้วยเดชเป็นอย่างนั้นมันคนละเรื่องกัน
ฉะนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด โลกธาตุหวั่นไหว หวั่นไหว กาฬเทวิลอยู่บนพรหม ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นมาก มันต้องมีอะไร เพราะเขาเป็นพราหมณ์ พวกพราหมณ์ พวกสายเวทเขามีฤทธิ์ของเขา เวลามีฤทธิ์ของเขา เขาก็เล็งญาณว่าเกิดอะไรขึ้น พอเกิดอะไรขึ้น เขาเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว เขาได้ลงมา
มันยืนยันได้ไง ยืนยันเพราะว่าเขาเป็นมนุษย์ เขาเป็นเพื่อนกับพระเจ้าสุทโธทนะ พอลงมาจากพรหม เขาก็ไปขอพระเจ้าสุทโธทนะ ขอดู ขอดูว่ามันเป็นจริงหรือเปล่า พระเจ้าสุทโธทนะเอาเจ้าชายสิทธัตถะออกมาให้ดู เขาทั้งดีใจทั้งเสียใจไง ดีใจคือว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตอีก ๔๐ ชาติ ไปดูพระไตรปิฎก เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ รู้อนาคตได้ ๔๐ ชาติ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขามีฤทธิ์มีเดชอยู่อย่างนั้นเขาทำอะไรไม่ได้ แล้วเขาก็อยากจะพ้นจากกิเลสไปไง เขาอยากจะฆ่ากิเลส แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ มันอัดอั้นตันใจอยู่อย่างนั้น มีฤทธิ์ๆๆ รู้ไปหมดเลย แต่ทำอะไรไม่ได้
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด เขาดีใจ ดีใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด จะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเมื่อชำระล้างกิเลสคือนิพพาน คือพระอรหันต์ ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพระอรหันต์ แล้ววิธีการทำให้เป็นพระอรหันต์ไม่มีใครทำได้ เขาเองเขาก็ทำไม่ได้ พอเขาทำไม่ได้ เขาก็เลยละล้าละลัง ทีนี้พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด พอเขาดูลักษณะ ๓๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เขาถึงดีใจไง แล้วเขาก็เสียใจร้องไห้ เสียใจด้วย เสียใจนะ เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ กำหนดอนาคตได้ ๔๐ ชาติ แล้วรู้กำหนดวันตายด้วย
ที่เขาร้องไห้ เขาร้องไห้เพราะว่ากว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกปฏิบัติ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อายุขัยเขาสิ้นแล้ว คือเขาจะตายก่อน เขาเสียใจนะ เขาร้องไห้ เขาระลึกอดีตชาติได้ ๔๐ ชาติ อนาคตได้ ๔๐ ชาติ แล้วเขารู้ด้วยว่าเขาจะกำหนดวันตายเมื่อไหร่ แล้วเขาร้องไห้ เขาร้องไห้ว่าเขาไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่มีโอกาสได้ให้คนช่วยเหลือให้ออกจากกิเลสได้ นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เกิดไง ถ้ายังไม่เกิด เห็นไหม
อดีตชาติที่ว่าใครกำหนดอดีตชาติได้ ใครกำหนดอดีตชาติไม่ได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับธรรมะล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเกี่ยวอะไรกัน ระลึกอดีตชาติได้ รู้อดีตชาติได้ รู้เวรรู้กรรมของคนอื่นได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสัจธรรม มันเกี่ยวอะไรกัน มันเกี่ยวอะไรกัน ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวเลย มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจ พระที่ปฏิบัติกัน ที่หลงก็หลงกันตรงนี้ไง พระที่ปฏิบัติ พระที่ออกค้นคว้ากัน เวลาไปรู้ไปเห็นอะไรเข้าแล้วตื่นเต้นไปนั่นน่ะ มันถึงไม่เข้าอริยสัจ
ทีนี้พอไม่เข้าอริยสัจ มันต้องมีครูบาอาจารย์ของเรา มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มีหลวงตา มีพระอริยบุคคลในสายกรรมฐานเรา ท่านจะรู้ว่าอะไรเป็นอริยสัจ อะไรไม่เป็นอริยสัจ ถ้าอะไรไม่เป็นอริยสัจปั๊บ นั่นล่ะเหยื่อ โมฆบุรุษตายเพราะเหยื่อ ตายเพราะลาภ พอจิตมันสงบไปรู้ไปเห็นอะไรมันนึกว่าผลประโยชน์ของมันไง นั่นล่ะตัวตาย ไอ้ตัวที่ออกไปรู้นั่นล่ะตัวมันจะชักออกไปตาย ออกไปตาย ตายอย่างไร ตายจากมรรคจากผลไง ถ้ามันออกไปตายจากมรรคจากผล มันมีของมันอยู่ แต่มันไม่ใช่อริยสัจ ถ้าไม่ใช่อริยสัจแล้ว ถ้าคนมีหลักมีเกณฑ์ เรื่องนั้นใครก็รู้ได้ แล้วเขาวางไว้ แล้ววางไว้ เขาไม่สนใจหรอก
ฉะนั้น จะย้อนกลับมาคำถาม “๑. คนที่มีฌาน สามารถหยั่งรู้อดีตชาติของผู้อื่นได้ และรู้กรรมอดีตของผู้อื่น จะสำเร็จเป็นอริยบุคคลไหม”
ไม่ ไม่เกี่ยว ที่ว่าฌานโลกีย์ อภิญญา ๖ ตัวอภิญญา ๖ เพราะอภิญญามันรู้อะไรมาหมดเลย ดูสิ อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มีเดช รู้ต่างๆ นั่นคือโลกทั้งนั้นน่ะ แต่ตัวที่ ๖ ใช่ไหม ถ้าเขาปล่อยอันนี้เข้ามา อภิญญา ๖ รู้ว่าจิตสิ้นกิเลส ทีนี้คำว่า “รู้ว่าจิตสิ้นกิเลส” มันรู้อย่างไร อภิญญา ๖ รู้อย่างไร
อภิญญา ๖ หลวงปู่มั่นก็มี หลวงปู่ตื้อก็มี หลวงปู่แหวนก็มี ท่านมีของท่าน แล้วท่านไม่เอามาพูดให้ใครฟัง หรือไม่เอามาพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่มันพิสูจน์กันไม่ได้ เราใช้เงินตรากันคนละประเทศ เงินตราคนละประเทศ สมัยปัจจุบันนี้เขามีการแลกเปลี่ยนเงินตรากัน แต่เงินตราคนละประเทศมันใช้ข้ามกันได้ไหม ไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าประสาเรานะ อ้าว! เงินในโลก เงินในภพชาติผี ผีกับโลกใช้แบงก์เดียวกันไหม ผีมันไม่มีแบงก์ใช้นะ เขาต้องเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผีมันใช้ มันใช้กันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ อภิญญา ๖ แล้วตัวที่ ๖ มันคืออะไร นี่ไง บอกว่าอภิญญา ๖ ทีนี้พอพูดกันไปมันเกี่ยวพันกันไป ถ้ามันเกี่ยวพันกันไป
เขาว่า “บุคคลที่มีฌาน สามารถหยั่งรู้อดีตชาติของผู้อื่นได้ บุคคลคนนั้นสำเร็จเป็นอริยบุคคลไหม”
ไม่ รู้อดีตไม่เกี่ยวกับอริยบุคคล อริยบุคคลไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แล้วถ้าไม่เกี่ยวเรื่องนี้ปั๊บ ทีนี้บอกว่าบุคคลที่มีฌานหยั่งรู้ ใครหยั่งรู้ ต่อไปนี้นะ ดูสิ ตอนนี้โลกเขาหากินกันแบบนี้ เขาหากินเป็นสำนักปฏิบัติต่างๆ แล้วเขาก็รู้อดีตชาติ รู้นู่นรู้นี่กันไป
จะบอกว่า เราเที่ยวธุดงค์มา เวลาชนเผ่า ชนเผ่าเขาจะมีหมอผีประจำชนเผ่า หมอผีเขาจะรักษาโรค รักษาเวรรักษากรรมให้กับชนเผ่านั้น ชนเผ่าใดก็แล้วแต่เขาจะเคารพศรัทธา เขาจะเชื่อมั่นเรื่องผีของเขา แล้วทีนี้พอเวลาพระเราไปเผยแผ่ พระเราธุดงค์ไป ถ้าเขาเชื่อนะ เขาก็มาถือพระพุทธศาสนาด้วย แต่เขาก็ไม่ทิ้งการถือผีของเขา
ดูสิ กองทัพธรรมๆ ของหลวงปู่มั่น ตั้งแต่สกลฯ มา มาอุดรฯ มาขอนแก่น มาปราบพวกถือผีๆ ให้เขาละนั้นเสีย ให้เขามาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสีย ถ้าเขาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาไม่ต้องถือผี เพราะถือผี เขาไม่มีที่พึ่งเขาก็ต้องถือผีของเขา เวลาได้สิ่งใดมาก็ต้องเลี้ยงผีเลี้ยงต่างๆ นั่นล่ะ สิ่งนั้นหรือที่ว่าเอามาเป็นที่พึ่งอาศัย แล้วรู้อดีตชาติๆ รู้อดีตชาติรู้แบบผีบอกหรือเปล่า นี่มันทำผีบอก มันทำผีบอก มันไม่จริง มันไม่จริงตรงไหน มันไม่จริงว่าคนที่มีหลักแล้วไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้เลย
เราเคยเจอพวกหมอดูเขาดูพระ มาในวัด โอ๋ย! พระปฏิบัตินะ ให้หมอดูกันใหญ่เลย โอ้โฮ! อยากรู้ เสร็จแล้วหมอดูมาถึงคิวเรา เพราะเราไม่สนอยู่แล้ว เราภาวนาของเราอยู่ พระเขาดูทั้งวัดเลย แล้วทีนี้ดูทั้งวัดแล้วหมอมันก็หน้าแตกไง เพราะดูทั้งวัดพระเชื่อหมด อู้ฮู! ทายถูก ทายแม่น พอมาถึงเรานะ เขาบอกจะมาดูเรา เราบอกไม่ให้ดู ไม่ให้ ทีนี้เขาก็เสียหน้า เพราะเขาต้องการความเชื่อถือ
“ทำไมให้ดูไม่ได้ล่ะ”
เราบอก “ไม่ได้ ไม่ให้ดู ไม่เชื่อ”
“ทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ”
“โอ้! โทษนะ เวลากูทำสมาธิเกือบเป็นเกือบตายกว่าจะลงสมาธิ มึงมานั่ง นั่ง ๕ นาทีแล้วก็ทายเปรี้ยงๆ กูไม่เชื่อมึงหรอก”
มันยอมรับ กลับเลย
เอ็งมานั่งอยู่นี่ นั่ง พอนั่งกำหนด ทำกำหนดอยู่หน่อยเดียว ลืมตามาก็ทายเลย แล้วสมาธิเอ็งทำง่ายไหม ถ้ามันทำได้ พวกโยมทำสมาธิ แล้วสมาธิโยมรักษาได้ง่ายไหม แล้วเขาทายมา ๑๐ กว่าคนแล้ว ทาย ๑๐ คน จิตมันก็ส่งออกเยอะแล้ว จิตมันฟุ้งซ่านไปเยอะแล้ว แล้วเขากำหนดให้จิตสงบแล้วจะมาทายเรา
เราไม่เชื่อเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนบวช ไม่เชื่อเรื่องนี้เลย ไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้ ถ้าเอ็งทำดีได้จริงนะ ในวงการอาชีพของเขาเป็นอาชีพอาชีพหนึ่งเนาะ เราก็ไม่ควรไปทำคนเขาจะหากินไม่ได้เนาะ อาชีพของเขา ถ้าเป็นอาชีพของเขา เอ็งเชื่อถือของเขามันก็เรื่องหนึ่ง
แต่กูไม่เชื่อหรอก เพราะอะไร เพราะเราเป็นชาวพุทธ พุทธมามกะต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจธรรม เอ็งถือนอกจากนั้น เอ็งขาดจากไตรสรณคมน์ เอ็งขาดจากความเป็นพุทธ ศาสนาพุทธเขาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาถือสัจธรรมคำสอน อริยสัจ เขาไม่ถือเรื่องอย่างนั้น ถ้าไม่ถือเรื่องอย่างนั้นแล้ว
แล้วเวลาครอบครัวของเขา เวลาเขาทายคนอื่นถูกไปหมดเลย เวลาเขามีทุกข์มียากของเขา เขาทายตัวเขาถูกไหม หมอดูเขาทายตัวเขาถูกไหม หมอดูน่ะ ครอบครัวของหมอดูเขาจะรู้วาระของเขา เขาจะพาครอบครัวเขาร่มเย็นเป็นสุข ครอบครัวเขาจะไม่มีผลกระทบกระเทือนกันเลย ไปดูสิ กลับบ้านไปมัน ๒ คนทะเลาะกันยังไม่จบนะ มันจะมาดูให้พวกเรา แต่กลับบ้าน ลูกในบ้านมันยังดูแลไม่ได้
ไอ้นี่พูดถึงฆราวาสนะ แล้วพูดถึงทำผีบอก เราไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อเลย แล้วไม่เชื่อแล้วเชื่อเรื่องเวียนตายเวียนเกิดไหม เชื่อ เชื่อเรื่องจิตวิญญาณไหม เชื่อ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการทีหนึ่งเทวดา อินทร์ พรหมสำเร็จเป็นแสนเป็นล้าน พระโมคคัลลานะเวลาไปเที่ยวนรก เวลาคนตายไปเกิดที่ไหน พระโมคคัลลานะมาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมเชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำไมพยากรณ์แล้วเป็นอย่างนั้น เพราะของอย่างนี้มันมีอยู่แล้ว การเวียนตายเวียนเกิดของจิตมันมีอยู่แล้ว
ทีนี้การเวียนตายเวียนเกิดของจิตมีอยู่แล้วมันก็เป็นสัจธรรม มันเป็นความจริง แล้วมันเป็นความจริง เราไปดูหมอ เราไปเชื่อเขาโดยที่ว่าถือข่าวลือหรือ มันจริงหรือ ถ้ามันไม่จริง มันไม่จริง เราก็ไม่ต้องไปเชื่อ เราเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่เราเชื่อด้วยการทำดี เราอย่าประมาทมันก็จบ ถ้าเราไม่ประมาทนะ เราไม่ประมาท เรามีสติปัญญาของเราไป เราทำความจริงของเราไป มันจะมีอะไร มันจะมีอะไร
เวลาเราไปเที่ยวป่าเที่ยวเขานะ สัตว์ป่าเยอะแยะ เราไปเดินเผชิญกับช้าง เผชิญกับเสือ อ้าว! ก่อนบวชนะ เราเคยเที่ยวป่า เรามีอาวุธไป มันก็อุ่นใจ ตอนบวชแล้วมือเปล่า เข้าไปอยู่กับมัน นั่งเห็นกันอย่างนี้ มันวัดใจกันนะ วัดใจเลย ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันนะ เชิญ ถ้าไม่มีเวรมีกรรมต่อกันนะ ต่างคนต่างอยู่ ก็อยู่กันอย่างนี้ อยู่ข้างๆ กันนี่ ทั้งเสือ ทั้งช้างก็อยู่ด้วยกันน่ะ ไม่เห็นมีอะไร แต่มันต้องวัดใจนะ ถ้าใจเราเขวหน่อยเดียวนะ เราตกใจ เขาเรียกวัดใจ ดูสิ ถ้าคนใจมันนิ่ง ทำได้หมดแหละ
ฉะนั้น เราเจอเรื่องนี้มาแล้ว มันเป็นความจริง อริยสัจมันเป็นอย่างนี้ เพราะว่าเราไปอยู่กับเสือกับช้างต่างๆ เพื่อจะให้จิตมันไม่วอกแวกไม่วอแว ไม่คิดฟุ้งซ่านไป เพราะถ้าไปอยู่โดยปกติมันก็จะคิดของมันร้อยแปดใช่ไหม พอไปเจอสิ่งที่มันกลัวมันก็ต้องหาที่พึ่งใช่ไหม ถ้าหาที่พึ่งมันก็ต้องหาพุทโธใช่ไหม พอหาพุทโธขึ้นมามันก็พุทโธเข้ามาจนเป็นตัวของมันใช่ไหม มันมีกำลังของมัน มันมีปัญญาของมัน มันก็เข้ามาสู่อริยสัจ
มันมีอุบาย พระพุทธเจ้าวางอุบายเอาไว้ให้เราทำ แต่เราไม่ใช่ไปเคารพบูชาของอย่างนั้น ไม่ต้องเคารพบูชา ไม่เชื่อ ๑. ไม่เชื่อ
“๒. การที่มีสมาธิหยั่งรู้วาระจิต อดีตชาติของคนอื่น ฆราวาสทั่วไปสามารถจะเกิดขึ้นอย่างนี้ได้หรือไม่”
ได้ ฤๅษีชีไพรเขาก็เกิดได้ แต่เกิดได้นะ เราจะบอกว่าอย่างนี้ โยมนะ ใครที่มีเงิน ๑ ล้าน แล้วบอกเงิน ๑ ล้านจะอยู่กับเขาตลอดชีวิตเลย โยมว่าคนคนนั้นเป็นไปได้ไหม สิ่งที่ฌานสมาบัติที่อยู่กับจิต อยู่กับบุคคลคนนั้นมันจะอยู่ตลอดไปได้ไหม เงินเรามีอยู่ในกระเป๋าเราก็ล็อกไว้เลย เย็บเอาไว้เลย ไม่ใช้ ห้ามใช้เงินอันนี้ แล้วใช้ชีวิต ดำรงชีวิตไปได้ไหม ไม่ได้ คนจะอยู่ได้ต้องใช้เงินใช่ไหม ใช้เงินใช้ทองนะ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาล ค่าทุกอย่างเลย
จิตมันมีฌานของมัน มันมีกำลังของมัน มันไม่คิดอะไรเลยหรือ มันไม่เสื่อมเลยหรือ มันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปเลยหรือ มันอยู่ไม่ได้ ไม่มีหรอก
คนทำได้มันทำได้ พวกเรานั่งอยู่นี่เรามีสตางค์กันไหม มี แต่เราจะให้สตางค์อยู่คงที่ได้ไหม ไม่ แล้วทำไมเรามีใช้ตลอด เรามีใช้มาถึงปัจจุบันนี้ล่ะ ก็ทำงานอยู่ทุกวันไง ก็เงินมันมาใหม่ๆ ตลอดเวลาไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันจะทำอยู่ได้มันต้องมีสติมีปัญญา มันต้องรักษาของมันไง แล้วรักษาขึ้นมา จิตถ้ามันมีกิเลสของมัน มันจะรักษาได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านพิจารณาของท่านจนชำระล้างกิเลสไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป อภิญญา ๖ มันคงที่ของมันไง คงที่ตรงไหน คงที่มันไม่มีกิเลสไง มันไม่มีการยั่วยุไง มันไม่มีสิ่งใดชักให้จิตมันวอกแวกวอแวไง แต่ถ้าปุถุชนเป็นฆราวาสทำ เขาบอกว่าฆราวาสทำได้ไหม
เราจะบอกว่า เวลาทาย ๑๐๐ คน ถูกสักคนหนึ่ง ไอ้ ๙๙ คนมันไม่พูดถึงเลย มันพูดถึงคนที่ถูกนั่นน่ะ ไอ้คนที่ถูกมันอ้างประจำเลย แต่ไอ้คนที่ไม่ถูกมันไม่พูดถึง
นี่ก็เหมือนกัน “มันจะมีจริงอยู่หรือเปล่า”
เราบอกว่าไม่เชื่อ แม้แต่พระทำเรายังไม่เห็นด้วยเลย แล้วถ้าเป็นโยมทำ ไร้สาระ ถ้าพระพูดเรื่องอย่างนี้นะ แสดงว่าพระนั้นไม่ใช่ศากยบุตร ไม่ใช่พุทธชิโนรส เพราะศากยบุตรท่านจะอยู่ในอริยสัจ แล้วพยายามจะชักนำให้คนเข้ามาสู่อริยสัจ คือคนหลงเขาจะดึงเข้ามาให้ถูก ไม่มีพระองค์ไหนหรอกจะผลักให้คนดีๆ ไปหลง คนที่อยู่ในอริยสัจแล้วผลักมันออกไปให้ไปรู้เรื่องอนาคต เรื่องภพ เรื่องชาติ ผลักมันออกไป ไม่มีหรอก
เรามีลูกมีหลาน เราจะผลักลูกหลานเราไปเสพยาบ้าไหม เราก็มีแต่ดึงลูกหลานเรากลับมาจากยาเสพติดใช่ไหม อันนี้มันยาเสพติด ไม่เอา หนูอย่าไปทำ หนูไม่เอานะ หนูมาอยู่ธรรมะสัจจะดีกว่านะ หนูอย่าไปอยู่ยาเสพติดนะ แล้วนี่จะผลักออกไปมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสเขาไม่พูดกันอย่างนั้นหรอก มันไม่มี ฉะนั้น ถ้ามันไม่มี เวลามันเกิดจริง ทีนี้มันสำคัญแล้วนะ เราไม่ต้องการให้ลูกเราเสพยาบ้าหรอก แต่ลูกเรามันไปคบเพื่อน แล้วเพื่อนมันชวนไป แล้วทำอย่างไรล่ะ
จิตของคนที่มันมีศักยภาพอย่างนั้น จิตของคนที่จิตมันสงบแล้ว มันรู้ของมันอย่างนั้น มี มันมีนะ ถ้ามีแล้ว เห็นไหม ลูกของเราคบเพื่อน เพื่อนมันชวนไปเสพยาบ้า สิ่งที่รู้ที่เห็นอดีตอนาคตมันเป็นกิเลส สิ่งที่ส่งออกมันเป็นกิเลส ทุกอย่างเป็นกิเลสหมด แล้วจิตของเรา เราจะเข้าสู่สัจธรรม จิตของเราเข้าสู่สัจธรรม มันมีกิเลส กิเลสก็ดึงมันไป เราจะปล่อยให้มันไปกับกิเลส กับเราจะดึงมันเข้าสู่สัจธรรม เราจะทำอย่างไร
สิ่งที่รู้เรื่องภพเรื่องชาติมันเป็นเรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้อดีตชาติ รู้อนาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ ยามปัจฉิมถึงสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีนี้พอสำเร็จขึ้นมาแล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา มันไม่มีอวิชชา คือไม่มีความหลงใหลในใจแล้ว อนาคตังสญาณรู้ไปหมดเลย รู้ไปหมดเพราะอะไร เพราะใจเป็นพระอรหันต์ ใจไม่มีกิเลส มันก็เลยคงที่ มันก็เลยไม่วอกแวก แล้วไอ้ปุถุชน ไอ้คนหนามันไปรู้ มันรู้อะไร
เราจะบอกว่าเราไม่เชื่อเลยว่าเขารู้ด้วยนะ เราใช้คำว่า “ประสบการณ์” เขาใช้ความชำนาญของเขา แล้วทายไป ทายไปคนก็เสือกเชื่อเท่านั้นเอง เราไม่เชื่อ ไม่เชื่อเลย
ฉะนั้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทำผีบอก ทีนี้เพียงแต่ทำผีบอก ในศาสนามีไหม ในศาสนามันเกี่ยวกับเรื่องอริยสัจ แต่ในศาสนา เรื่องวัฏฏะ เกี่ยวกับวัฏฏะมันมีของมันอยู่แล้วไง วัฏวน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขยก็เวียนตายเวียนเกิดสร้างสมคุณงามความดีมา คือวัฏฏะคือการเวียนตายเวียนเกิดในโลก ๓ โลกธาตุ มันมีของมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วมีคนทำคุณงามความดีขึ้นมา สร้างคุณงามความดีมาก็เป็นพระโพธิสัตว์ ก็มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ด้วยอริยสัจ ด้วยสัจจะความจริง ก็เอาสิ่งนั้นน่ะ เอาอริยสัจที่สัจจะความจริง อริยสัจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาสั่งสอน สั่งสอนแล้วใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้ตามนั้นมันก็หลุดพ้นออกมาจากอวิชชา หลุดพ้นออกจากกิเลสมาเป็นชั้นเป็นตอน มันก็หลุดพ้นออกมา
ของมันมีอยู่ไง จะไม่บอกว่าเรื่องการเกิดการตาย จิตวิญญาณไม่มี เราไม่ได้ปฏิเสธ มันมี พอมันมีแล้วมันก็เป็นไสยศาสตร์ มันเป็นโลก เห็นไหม หลวงตาบอกโลกกับธรรม โลกกับธรรม โลกมันมีอยู่แล้ว ถ้าโลกมีอยู่แล้ว ดูสิ ในพระพุทธศาสนาเราก็มีชาวพุทธ แล้วพระพุทธศาสนาในกรรมฐาน ในวงกรรมฐานเขาก็ปฏิบัติกันเพื่ออริยสัจ ฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาเขาเชื่ออะไรกันล่ะ เขาเชื่ออะไรกัน แล้วออกไปนอกพระพุทธศาสนาเขาเชื่ออะไรกัน เขาอ้อนวอนพระเจ้ากันอยู่นั่น เขาต้องให้พระเจ้ามาตัดสินเขาอยู่นั่น ออกไปข้างนอกมันมีอีกเยอะแยะนะ
ทีนี้ในศาสนา นี่พูด จริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะเราไม่เชื่อเรื่องอย่างนี้เลย เราไม่เชื่อว่าใครจะมีฤทธิ์มีเดชมาทำอะไรให้ใครได้เลย ในความสะอาดบริสุทธิ์ของคน ไม่มีใครการันตีบุคคลอื่นให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ความสะอาดบริสุทธิ์มันเป็นเรื่องจำเพาะบุคคล จำเพาะคน จำเพาะเลย ของใครของมันจำเพาะใจดวงนั้นเลย ไม่มีใครไปการันตี ไปยกย่องสรรเสริญหรือไปทำให้จิตใจดวงอื่นต่ำต้อยลง ไม่มี มันเป็นเรื่องจำเพาะเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบนั้นไง ถ้าเป็นแบบนั้น ความจริงมันเป็นแบบนี้
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ที่พูดย้ำนี้เพราะอะไร เพราะว่าเขาบอกว่าในเมื่อเขาไปพยากรณ์น้องสาวแล้วจะมีอะไรไปข้างหน้า เราไม่เชื่อ ไม่เชื่อ เพราะเราได้ยินเรื่องอย่างนี้มาเยอะ แล้วถ้าได้ยินเรื่องอย่างนี้มาเยอะแล้วพอพูดอย่างนี้ปั๊บ ครอบครัวนี้ทั้งครอบครัวเลย ตกใจทั้งครอบครัวเลย แล้วก็ต้องไปแก้บน แก้ร้อยแปดพันเก้าเลย ไอ้คนพยากรณ์นั้นก็หวานเลย หวานเจี๊ยบเลย เขาค้าขายความกลัวไง เอาความกลัวมาขู่ไง แล้วเราก็ต้องไปแก้ไขความกลัวกันอยู่อย่างนั้นตลอดไป
ในชนเผ่าเขามีหมอผีประจำชนเผ่าของเขา ไอ้ชนเผ่าอย่างนั้นมันน่าสงสารเพราะว่าเขาอยู่ในที่สูง เขาอยู่ในที่ห่างไกล เขาก็อาศัยสิ่งนี้เป็นวัฒนธรรมของเขา วัฒนธรรมของเขานะ เขาก็แก้ไขของเขาด้วยสมุนไพร ด้วยการถือผี ด้วยการแก้กรรมของเขากันไป อันนั้นมันเป็นเรื่องของชนเผ่านะ เรื่องหมอผีประจำชนเผ่า
แต่พระพุทธศาสนามันเจริญมาขนาดนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาคนตาย อย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ อย่ารำพึงรำพันถึงกัน ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
แล้วเราเป็นชาวพุทธ เรามีสติปัญญาของเรา เรามีสติปัญญา เราไม่ประมาทกับชีวิตของเรา อะไรมันจะเกิดนะ มาเลย กรรมดีกรรมชั่วใครก็ทำมาทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญาโดยสมบูรณ์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดเป็นครั้งสุดท้ายกับพระทั้งหมด “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ความประมาทเลินเล่อกับชีวิต พระพุทธเจ้าเป็นห่วงเป็นใยมาก ฉะนั้น ถ้าเราไม่ประมาทแล้ว เรามีสติปัญญาแล้ว เราทำของเราไปเลย น้องสาวหรือว่าโยมจะทำอะไรด้วยความถูกต้องชอบธรรม ด้วยเป็นกุศล เชิญ เชิญเลย ทำตามสบายของเราเลย ไม่ต้องให้ใครมาเป็นหางเสือคัดค้านชีวิตของเรา เอาชีวิตเราทั้งชีวิตเลย ไปฝากไว้กับใครก็ไม่รู้
ฝากไว้กับพ่อแม่ วันนี้วันแม่นะ เอาชีวิตฝากไว้กับแม่ เอาชีวิตฝากไว้กับพ่อแม่ พ่อแม่รักลูกด้วยหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ พ่อแม่ไม่ทำให้ลูกเสียหายหรอก เอาหัวใจฝากไว้กับพ่อแม่ อย่าไปเชื่อใคร อย่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับใคร ฝากไว้กับพ่อแม่ พระอรหันต์ของลูก แล้วก็ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงนะ ให้ชี้นำอย่างนั้น
มันไม่ใช่ประเด็นเลยล่ะ แต่โลกเขาเชื่อกันไง นี่มันไม่เป็นปัญหาเลย แต่เป็น ตอบเท่านี้เนาะ ทำผีบอก
ถาม : เรื่อง “สอบถามครับ”
๑. ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นขันธ์ ๕ อย่างไรครับ
๒. ขอบคุณหลวงพ่อมากครับที่เคยสั่งสอน
ตอบ : ไอ้ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นขันธ์ ๕ อย่างใด เขาเคยถามมา เคยถามมา ที่เราตอบไป ปัญหานี้ก็เกิดอีกแล้ว เกิดที่ว่าเวลาเราตอบปัญหา เราจะตอบปัญหาให้ผู้ที่ปฏิบัติให้มีกำลังใจ
ฉะนั้น เวลาถามว่า “ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันเป็นขันธ์ ๕ ไหม”
บอกเป็น ถ้าเราพิจารณาไปมันเป็นอย่างไรมันควรจะได้ประโยชน์ เราให้เป็นแบบนั้น ทีนี้จะเป็นแบบนั้นแล้ว ถ้าหลวงพ่อเอาใจโยมเกินไป หลวงพ่อก็ไม่ซื่อสัตย์กับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ อะไรก็เอาใจเขาไปหมดเลย แล้วความจริงมันเป็นอย่างไรล่ะ
ความจริงนะ ในเมื่อผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นขันธ์ ๕ ไหม ก็เป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันเป็นรูปไหม มันเป็นรูป เห็นไหม เห็นเส้นผมไหม เห็นผมไหม เห็นขนไหม เห็นเล็บไหม เห็นฟันไหม เห็นหนังไหม เห็นไหมล่ะ มันเห็นไหม มันเห็น เห็นเป็นรูปไหม รูป
เป็นขันธ์ ๕ ไหม ขันธ์ ๕ มันมีอะไร ขันธ์ ๕ ก็มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วรูปมันมีไหม
มี
เป็นขันธ์ ๕ ไหม
เป็น แค่นี้แหละ ทำไมเซ่อล่ะ ทำไมเซ่อขนาดนั้น
อ้าว! ก็เป็นรูปมันก็เป็นรูปอยู่แล้ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็เป็นรูป มันก็เป็นขันธ์ ๕ ไง แล้วมันไม่เป็นตรงไหนล่ะ มันก็เป็น แล้วถามอะไรล่ะ ถามอะไร ก็ถามมาครั้งที่แล้วบอกผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันเป็นขันธ์ไหม เพราะเขาใช้ปัญญาอยู่ ถามมา เขากำลังงงไงว่าเป็นไหม เราบอกว่าเป็น แล้วคราวนี้เขาถามกลับมาเลย มันเป็นอย่างไรล่ะ
มันเป็นอยู่ในตัวของมันเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นรูปที่เราเห็นได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปมีรูปนอก รูปใน รูปนอก รูปที่เป็นวัตถุ รูปใน รูปในคือรูปอารมณ์ความรู้สึก มีรูปนอก รูปใน ขันธ์หยาบ ขันธ์ละเอียด ขันธ์มันก็มีเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป คนปฏิบัติแล้วเวลามีปัญญาขึ้นมามันพิจารณาไป มันจะมีหยาบละเอียดเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
ฉะนั้น เวลาปฏิบัติขึ้นไป ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านจะไม่ปิดกั้น ท่านจะให้ลูกศิษย์ลูกหาพยายามใช้ปัญญาของบุคคลคนนั้น ถ้าปัญญาของบุคคลคนนั้น เวลามันใช้ปัญญาไปแล้วมันจะแยกแยะของมัน ปัญญามันจะเกิดต่อเนื่องขึ้นไป ปัญญาจะเข้มแข็งขึ้นไป ปัญญาจะคมกล้าขึ้น ปัญญามันจะเข้มแข็งขึ้น ถ้าปัญญาเข้มแข็งขึ้น ปัญญาของเขาก็เป็นปัญญาของเขา เห็นไหม รู้จำเพาะตนไง
ความสะอาดบริสุทธิ์เฉพาะตนเป็นเรื่องเฉพาะตน ถ้าเรื่องเฉพาะตน ถ้าเขาสงสัยอยู่ในเฉพาะใจของเขา ถ้าเฉพาะใจของเขา เขายังสงสัยอยู่ แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านโง่ท่านก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ คือจะแก้ความสงสัยของเขา แต่เขาก็ไม่หายความสงสัยของเขา เพราะเขาสงสัยของเขาอยู่ เพราะมันไม่ใช่ปัญญาของเขา ปัญญาของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะอธิบายไง
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดีท่านจะให้อุบาย ให้อุบายให้จิตใจดวงนั้นมันแยกแยะของมันเอง มันพิจารณาของมันเอง ถ้าพิจารณาของมันเองก็เป็นปัญญาของเขา ถ้าปัญญาของเขา เขาเกิดปัญญาของเขา ถ้าปัญญาของเขา เขาจะชำระความสงสัยของเขา ถ้าปัญญาของเขาเกิดขึ้นมา เขาเกิดปัญญาขึ้นมา เขาไปแก้ไขความสงสัยของเขา มันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นปัญญาของเขา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะมอบอุบายให้ ท่านจะชี้แนะให้ ออกอุบายให้ เปิดช่องทางให้ ให้เราฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา
เวลาถามปัญหาขึ้นมาบอกว่ามันเป็นขันธ์ ๕ ไหม เพราะเขาใช้ปัญญาของเขาอยู่ เราก็บอกว่าใช่ เพราะมันใช่จริงๆ อยู่แล้วล่ะ มันใช่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
เห็นไหม ไตรลักษณ์ๆ ขันธ์ ๕ อริยสัจเป็นเครื่องดำเนินของจิต มันเป็นทาง มันเป็นทาง สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความเป็นอนัตตาคือความแปรสภาพของจิต จิตมันเป็นอนัตตา มันเป็นทางเดินไง เป็นทางเดินจิตที่มันพิจารณาไป มันมีความรู้ความเห็นของมันไป มันเห็นไตรลักษณ์ขึ้นไป มันเห็นของมันต่อเนื่องขึ้นไป พอเห็นต่อเนื่องขึ้นไป มันเห็นเข้า มันเห็นจริง คนเห็นจริง ไฟ หลวงตาบอกว่าเวลาจับขึ้นมา ไปจับงูเห่ามาก็นึกว่าปลาช่อน โอ้โฮ! นึกว่าปลา โอ้โฮ! ดีใจมากเลย พอยกขึ้นมา โอ๋ย! งูเห่า มันทิ้งตูมเลย
นี่ก็เหมือนกัน มันพิจารณาเป็นไตรลักษณ์ เห็นไหม ไตรลักษณ์ก็เป็นไตรลักษณะ พิจารณามีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันแปรสภาพของมันไป ก็นึกว่าสิ่งนี้มันดี ก็ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ก็มันเป็นอนัตตาก็เป็นธรรมแล้ว มันเป็นธรรม มันเป็นอนัตตา มันมีความซาบซึ้ง โอ๋ย! มันมีความจริงใจ นั่นน่ะมันคิดว่าปลา มันคิดว่าปลา แต่พอมันรู้จริงแล้วมันทิ้งตูม ไตรลักษณ์มันปล่อยหมดแล้วมันหลุดออกไปจากอริยสัจมันเป็นอย่างไร มันมีของมัน เวลาปัญญามันจะก้าวเดินนะ มันจะก้าวเดินเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็คอยออกอุบายให้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาถามมาบอก “ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันเป็นขันธ์ ๕ ไหม”
เป็น เป็นอยู่แล้ว แต่เป็นโดยแง่มุมอย่างใดล่ะ เป็นโดยที่เอ็งเห็นอย่างไรล่ะ เป็นโดยที่เอ็งมีปัญญาจะรู้เห็นไหมล่ะ มันเป็นอยู่แล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว แล้วบัญญัติสิ่งนี้เป็นธรรมวินัยให้เราก้าวเดิน เราก็ไปจำมา ไปบอกมา มันเป็นขันธ์ ๕...ไม่เป็น มันเป็นอย่างไร เราพยายาม เหมือนกับโรงงาน โรงงานประเภทใดก็แล้วแต่ก็ต้องมีวัตถุดิบขึ้นมาทำโรงงานนั้น โรงงานตั้งมาแล้ว แต่ไม่มีวัตถุดิบ ป้อนเข้าโรงงาน โรงงานนั้นก็เดินเครื่องไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน ขันธ์ ๕ มันก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้ขันธ์ ๕ ของเรา ไอ้ความรู้จริงของเรามันไม่มี คือวัตถุดิบเราไม่มี แล้วเราจะพิจารณาอะไรล่ะ พอมันไม่มีอะไรพิจารณาก็ถามหลวงพ่อมาไง มันเป็นขันธ์ ๕ ไหม หลวงพ่อบอกเป็นขันธ์ ๕ แต่ผมก็ยังงงๆ อยู่เพราะผมไม่มีวัตถุดิบ เพราะผมจับต้องอะไรของผมไม่ได้
แต่ถ้าเราจับต้องสิ่งใดของเราได้นะ ใครเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง การเห็นนั้นคือวัตถุดิบ วัตถุดิบแล้วเราเห็นกิเลส เราเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เราเอาอันนั้นมาพิจารณา พิจารณามันก็ป้อนเข้าโรงงาน ป้อนเข้าโรงงานก็ป้อนเข้าสู่ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็พิจารณาของมันไป มันก็แยกแยะของมันไป โรงงานมันมีการกระทำมันก็เป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นทางเดินไง จิตมันพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปไง ถ้าจิตพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมามันก็เห็นจริงของมันตามความเป็นจริงของมันไง ถ้าเป็นจริงของมัน มันก็รู้แจ้งไง ก็ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไง แล้วขันธ์ ๕ มันอยู่ไหนล่ะ มันเป็นขันธ์ ๕ หรือเปล่า เป็น เป็น แล้วเป็นอย่างไรล่ะ เป็นน่ะมันเป็นอย่างไร
นี่ไง ปัจจัตตังไง นี่ธรรมะส่วนบุคคลไง ความสะอาดบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคลของใครก็ของมันไง ถ้าใครรู้จริงขึ้นมามันก็รู้จริงของมันตามความเป็นจริงขึ้นมาไง ถ้าใครไม่รู้จริงก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาไง ก็เป็นสัญญาทั้งนั้นไง สัญญามันจำมามันก็จำมาไง ถ้าจำมาแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อ จำแล้วทำอย่างไรต่อ อ้าว! ก็ทำสิ นี่ภาคปฏิบัติ
ทีนี้ภาคปริยัติศึกษามาๆ จำมาๆ ก็เป็นสมบัติของตัว ได้ใบประกาศคนละ ๒๐ ใบ ๓๐ ใบนะ เข้าอบรมมา เดี๋ยวแจกใบประกาศอีกแล้ว กลับไปบ้านแขวนเต็มบ้านเลย คนนี้มีปัญญามากเลย แต่ไม่รู้ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนังมันเป็นขันธ์ ๕ อย่างไรครับ
เพราะเราเห็นว่าคนเวลาปฏิบัติมันเริ่มปฏิบัติของมันไปใช่ไหม เราก็ให้อุบาย บอกวิธีการเพื่อประโยชน์กับคนที่ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติขึ้นไป ปัญญามันเกิดขึ้น นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกให้ปัจจัตตัง ยกให้สันทิฏฐิโก คือรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง
สันทิฏฐิโกคือรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง แต่นี้เรารู้จริงเห็นจริงตามความจำ ตามการศึกษา ตามความจำ เพราะมันรู้จริงเห็นจริง แต่ไม่เป็นตามความเป็นจริง รู้จริงเห็นจริง แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่จริงหรือ จริง ศึกษามาจริงไหม จริง รู้จริงๆ นี่แหละ เห็นจริงๆ นี่แหละ แต่ไม่จริง
แต่ถ้ามันจริงล่ะ มันจริง รู้จริงเห็นจริง แล้วเป็นจริงด้วย เป็นจริงด้วย โอ้โฮ! มันซาบซึ้งมาก ถ้ามันเป็นจริงด้วยมันถึงสำรอก มันถึงคายกิเลสออก
ฉะนั้น เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วมันปล่อย ปล่อยขนาดไหน ปล่อยขนาดไหน รู้จริงเห็นจริง แต่มันยังไม่สมดุล มันยังไม่เป็นตามความเป็นจริง ถ้าไม่ตามความเป็นจริงมันไม่แขนขาดไง
เวลาตามความเป็นจริง เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด เอามีดมาฟันเลย โชะ! ขาดออกไปเลย แขนขาดแล้ว แขนขาดแล้วมันก็คือขาด ต่อไม่ได้อีกแล้ว มันต่อไม่ได้นั่นล่ะกิเลสขาด แล้วขนาดเอามีดฟันแขนขาด เอ็งไม่รู้สึกตัว มันเป็นไปได้อย่างไร
นี่เหมือนกัน เวลาปฏิบัติไป เป็นขันธ์ ๕ หรือไม่เป็น แล้วก็ปล่อยหมดเลย เออ! แขนขาดแล้ว แขนขาดแล้วนี่นึกเอาเองไง อ๋อ! แขนขาดแล้ว อ๋อ! อ๋อ! แขนขาดแล้ว อ๋อ! แขนขาดแล้ว...มันยังอยู่ มันยังอยู่เลย แต่ อ๋อ! แขนขาดแล้ว เพราะมันปฏิบัติไปมันรู้ของมันไง รู้จริงเห็นจริง อ๋อ! แขนขาดแล้ว แต่ไม่เป็นตามความเป็นจริง
แต่ถ้าเมื่อใดเป็นตามความเป็นจริงนะ สังโยชน์ขาดนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ขาดออกไป ดั่งแขนขาด ชัดเจนมากนะ ชัดเจนมาก
นี่พูดเพราะว่าคำถามเวลาถามมา เวลาครูบาอาจารย์ ดูสิ หลวงตาอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาติดสมาธิ ๕ ปี หลวงปู่มั่นถามทุกวันนะ “มหา จิตเป็นอย่างไร”
“ดีครับ”
“จิตเป็นอย่างไร”
“ดีครับ”
ท่านดูแลกันมาขนาดนั้นน่ะ ถึงเวลาท่านเอาจริง เห็นไหม “ดีบ้าอะไร ดีขนาดนั้นมันดีแค่เศษเนื้อติดฟัน ดีอย่างนั้นมันพอกินหรือ มันดีอะไรขนาดนั้นน่ะ” ลุกเลยนะ
กว่าจะรอให้มันสุกงอมนะ ก็ยังติดอยู่ ก็ยังว่าความปล่อยวางอันนั้นดีอยู่ มันดีขนาดนั้นมันไม่พอกินหรอก สุดท้ายดึงออกมาๆ ท่านก็ต่อเนื่องขึ้นไป
นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำถามมา สิ่งใดๆ มา สิ่งใดมา เราตอบมา เราก็ตอบ ตอบให้กำลังใจทั้งนั้นน่ะ จริงๆ ไอ้ที่ตอบๆ ตอบให้กำลังใจทั้งนั้นน่ะ ให้กำลังใจกันไว้ก่อน เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าคนปฏิบัติจริงเห็นจริงมันยากนัก ครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านปรารถนาอยากมีศาสนทายาท กว่าจะได้มาแต่ละองค์สององค์แสนยาก แสนยากนะ การปฏิบัตินี่แสนยาก สิ่งที่ได้ๆ มามันก็ได้มาแค่เป็นแบบว่าเห็นช่องเห็นทาง แบบว่าเห็นร่มเห็นเงา แล้วก็วูบหายไป ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นน่ะ พระปฏิบัติเวลามานะ อู้ฮู! มีร่องมีรอย น่าจะเป็น น่าจะได้นะ ถึงเวลาก็แว็บหายไป เป็นอย่างนี้เยอะมาก
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ท่านทำมาๆ ท่านถึงพยายามหาช่องทางให้ ป้องกันให้นะ ใครปฏิบัติได้นี่กันไว้เลยนะ อย่าให้ใครเข้าไปคลุกคลี ให้เขาลุยเต็มที่เพื่อปฏิบัติของเขา กว่าเขาจะรอดไปแต่ละองค์ๆ เพราะครูบาอาจารย์อยู่ในวงการอย่างนี้ ฉะนั้น เวลาปฏิบัติกัน เวลาครูบาอาจารย์ชักนำแต่ละองค์ เพราะอยู่ด้วยกันมา ๑๐ ปี ๒๐ ปีมันจะชักนำกันขึ้นมา
ทีนี้เวลาเราปฏิบัติ คนที่ปฏิบัติเขาเรียนด้วย แล้วปฏิบัติด้วย งานโลกก็เอา งานธรรมก็เอา พระอรหันต์ก็จะเอา ขันธ์ ๕ บอกขันธ์ ๕ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นขันธ์ ๕ อย่างใด
คำถามมันก็บอกอยู่แล้วว่าสงสัย งง เป็นอย่างไรล่ะ แต่ถ้าคนเป็นแล้วนะ ไม่ถาม เวลาถามมา หลวงพ่อพูดทุกวันทำไมต้องถาม ก็เห็นทุกวัน รู้เลย เดี๋ยวเวลาจับไมค์ใส่ เจอไมค์ไม่ได้ วิ่งเข้าใส่เลยล่ะ รู้หรือ นั่นก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้ามันรู้แล้วก็จบ มันไม่สงสัยอะไรเลย
ในเมื่อสงสัย ก่อนจะมานะ เฮ้ย! ดุไหมวะ เฮ้ย! เข้าไปใกล้จะโดนไม่โดน
มันถามมาตั้งแต่บ้านมันยังไม่เห็น ถ้ามันเห็นแล้วก็จบ เอ็งนั่งเฉยๆ เอ็งมาแล้วเอ็งอยู่ตามหน้าที่เอ็ง รับรองไม่ดุ ถ้าเอ็งไม่ทำความผิดไม่ดุหรอก ถ้าเอ็งไม่ออกนอกลู่นอกทางไม่ดุหรอก แต่ถ้าเอ็งข้ามเส้นมา เดี๋ยวก็รู้ว่าดุไม่ดุ ถ้ามันรู้มันเห็นไปแล้วมันก็จบนะ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันเป็นแบบนี้ ฉะนั้น สิ่งนี้พยายามปฏิบัตินะ
“ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นขันธ์ ๕ ไหม”
เป็น แต่มันเป็นรูป มันเป็นรูป แต่เราเห็นจริงอย่างไร ขันธ์นอก ขันธ์ใน ขันธ์หยาบ ขันธ์ละเอียด มันยังมีอีกเยอะนะ ฉะนั้น นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ทำอย่างไรต้องให้รู้อย่างนั้น ก็อปปี้มาเลย ให้เป็นอย่างนั้นเลย เป็นวิทยาศาสตร์เลย แก้กิเลสไม่ได้ กิเลสมันมีชีวิตจิตใจ มันพลิกแพลง มันหลบเลี่ยง มันซุกไป มันบังเงา มันเจ้าเล่ห์ อู๋ย! ร้อยแปด กิเลสนี่
ฉะนั้น จะต้องต่อสู้เข้าไป มีจิตใจเข้มแข็ง พยายามทำของเราเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถึงที่สุดเราทำได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราทำมาแล้ว เราถ้าปฏิบัติต้องทำได้ เอวัง